องค์ปฐมบรมจักรพรรดิ์
สมเด็จพระสิกขีทศพลที่ ๑ บรมจักรพรรดิ์ต้นพุทธวงศ์ ทอง-สำริด
สมเด็จพระพุทธสิกขี
เป็นพระนามของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกในโลก ในกาลอันอสงไขยนับไม่ถ้วน
ก่อนหน้าสมเด็จพระพุทธโคดม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบัน
แบบพระเชียงแสนทรงเครื่องจักรพรรดิ์ (ถือว่าเป็นต้นตระกูลของพระทรงเครื่องในประเทศไทยทั้งหมด) "สมเด็จพระสิกขีทศพลที่ ๑ บรมจักรพรรดิ์ต้นพุทธวงศ์"
พระพุทธสิกขีทศพลที่ 1
คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม
นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม
นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม
คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา
นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ
สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา
นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ
(รวบรวมโดยคุณ นัฏฐ์กานต์ ขัตติโยทัยวงศ์)
ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม
(คัดลอกจากหนังสือ ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก องค์แรก หรือองค์ที่หนึ่ง เรียกว่า “องค์ปฐม” การ ที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมก็มีอยู่ว่า.. นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือเมื่อประมาณ พ.ศ.2511 ตอน นั้นอาตมามาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น
ตอนกลางคืน สามีภรรยา ก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ
ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้นนั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ
จึงมีความรู้สึกในใจว่า บ่างทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้า ยืนพนมมือ อุปาทาน คือกิเลสคงกินใจมาก
เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า “คุณ.. ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา”
อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพเพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมาท่านก็พูดว่า.. “ข้าจะไปนั่งที่ไหนหว่า…ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า..
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”
ก็เป็นความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่า วันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกันก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน
อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์ หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่า เป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่าในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
(คัดลอกจากหนังสือ ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก องค์แรก หรือองค์ที่หนึ่ง เรียกว่า “องค์ปฐม” การ ที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมก็มีอยู่ว่า.. นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือเมื่อประมาณ พ.ศ.2511 ตอน นั้นอาตมามาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น
ตอนกลางคืน สามีภรรยา ก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ
ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้นนั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ
จึงมีความรู้สึกในใจว่า บ่างทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้า ยืนพนมมือ อุปาทาน คือกิเลสคงกินใจมาก
เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า “คุณ.. ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา”
อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพเพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมาท่านก็พูดว่า.. “ข้าจะไปนั่งที่ไหนหว่า…ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า..
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”
ก็เป็นความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่า วันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกันก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน
อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์ หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่า เป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่าในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาและเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านบอกว่า “พระองค์นี้บูชาให้ดีจะมีลาภมาก”
บทผนวก
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้อกันก็ได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู” อย่างแท้จริง
อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม
หลวงพ่อ “ช่าง มาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่วย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกันเขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ
ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอก นี่ …บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก.. ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก…หรือไง?
แต่ก็ไม่ได้หมายความต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึง พระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรก ก็คุยกันแล้ว
ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ทีนี้อย่างคนมีเงินน้อย ๆ ใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ 9 สตางค์ 10 สตางค์ ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด
คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บาทสองบาท 10 สตางค์ 20 สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่นอย่างนี้ลงบัญชีทองหมด..
ก็ถามว่า บัญชีสีทองหมายถึงอะไร
ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนา หมด”
ผู้ถาม “หลวง พ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน?”
หลวงพ่อ “ก็ มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้า บัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น”
ผู้ถาม “หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ?”
หลวงพ่อ “ใช่ ๆ ๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม…เหมือนกันลงบัญชีเล่มเดียวกัน”
คาถาแผ่เมตตาขอ บารมีสมเด็จองค์ปฐม
สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา
นะ โมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ
คุณประโยชน์ของการอุทิศ ส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้
1. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก
2. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข
3. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง
4. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์
5. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ 5 จิตเป็นจิตประภัสสร เป็น จิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ 8 กรรมฐาน คือ
1) พุทธานุสสติกรรมฐาน
2) ธรรมนุสสติกรรมฐาน
3) สังฆานุสสติกรรมฐาน
4) พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
5) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน
6. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ
7. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก จงทำทุก ๆ วันละอย่างน้อยสวด 9 จบ ช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดา มีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย
8. พระคาถาสวดพระนามพระพุทธเจ้านี้ พระท่านให้ไว้แก่มวลมนุษย์มาจากเบื้องบนพระนิพพาน ให้สวดทุกวัน เพื่อช่วยมวลเวไนยสัตว์ และตนเองก็หลุดพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องได้เกิดในแหล่งอบายภูมิ 4 อย่างนี้ เป็นการเสริมบารมีให้แก่ตนและผู้อื่น
9. การแผ่พลังจิตให้เป็นพลังไปรอบทิศจักรวาลทั้ง 3 โลกนั้น ทำจิตให้ว่างจากขันธ์ 5 ว่างจากกิเลสตัณหา ทำบุญกุศลทุกอย่าง ขอถวายทางจิตให้องค์สมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าโปรดโมทนาบุญกุศลทุก ๆพระองค์ เพื่อประโยชน์สูงสุดแด่มวลสรรพสัตว์ทุกจิตดวงธรรมญาณได้รับผลบุญที่ลูกแผ่ไป ให้ทุกดวงจิตธรรมญาณเทอญ การขอแรงพลังจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการขอแรงคลื่นวิทยุของท่านผู้เป็นใหญ่บุญบารมีใหญ่ ช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อให้สรรพสัตว์ 3 โลก ได้ยินคลื่นวิทยุได้ดียิ่งขึ้น จิตของสัตว์อบายภูมิน้อยนักที่จะได้รับได้ยินเหมือนคนตาบอด แต่ถ้าเขาโมทนายินดีรับกับการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาไปให้กับเขา ก็ทำให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์จากอบายภูมิได้ทุกคน เราต้องทำจิตให้สะอาดทำจิตว่างจากขันธ์ 5 ปล่อยพลังจิตไปทั่วรอบทิศจักรวาล
10. สวดพระคาถาพระนามองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากบุญกุศลไว้กับท่านท้าวยมราชได้แน่นอน โปรดสัตว์ได้ทั่วทั้ง 3 ไตรภพ แล้วแต่จะกำหนดจิตโปรดได้หมดทุกประเภท ทั้งชาติกำเนิด 4 คือ(เกิดในไข่ เกิดในคูต เกิดเป็นตัว เกิดขึ้นเอง เช่น ผี เทพ พรหม ) ภูมิวิถี 6 คือ
1) สัตว์นรก
2) เปรต
3) อสุรกาย
4) สัตว์เดรัจฉาน
5) คน
6) เทวดา พรหม
โปรดสัตว์ได้ตามวาระจิตของวิญญาณใด ถึงพร้อมย่อมสามารถเข้าถึงสุขติภูมิ คือ สวรรค์ และคนชั้นสูงมีความสุขตามฐานะ กฎของกรรมต่าง ๆ ที่คอยกีดกั้นขวางงาน เป็นเมตตาบารมี กฎของกรรมก็ตามไม่ทัน เพราะบุญใหญ่ เวลาการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่านก็แตกต่างกันคือ พระสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 1 อสงไขยกับแสนกัป พระอัครสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 2 อสงไขยกับแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 2 อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 4 อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 8 อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าวิริยะธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 16 อสงไขยกับแสนกัป
(คาถาแผ่ เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงค์การสวดคาถาแผ่เมตตานี้ได้มาจาก ท่านพระยายมราช)
คัดลอกมาจาก http://www.buddhabhumi.info/buddhabumi/buddha/first_buddha.html
คำนมัสการสมเด็จองค์ปฐมฯ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
วันทามิ พุทธัง ภะวะปาระติณณัง
ตีโลกะเกตุง ติภะเวกะนาถัง
โยโลกะเสฏโฐ สะกะลัง กิเลสัง
เฉตะวานะ โพเธสิ ชะนัง อนันตังฯ
ตะมะหัง องค์ปฐม พุทธัง อภิปูชะยามิ
ตะมะหัง องค์ปฐม พุทธัง เม สิรสา นมามิ
มหากรุณิโก นาโถ อัตถายะ
หิตายะ สุขายะ สัพพะปาณิณัง
ปูเรตะวา ปารมี สัพพา
ปัตโต สัมโพธิมุตตมัง
สัพพะสันตุปสัคคา สัพพุปัททะวันตรายะ
นิวาระณะสะมัตถัสสะ
สุคะตะมะมิตะพุทธิง โลกะนาถัง
ปูชิตะวา
ปุญญัสสิทานิ กตัสสะ
ยานัญญานิ กตานิ เม
กุสะละมุปะจิตัง ยันเตนะ
เตชุสสะเทนะ จะ
ตัสสะ ปารมิเตเชนะ
วิละยะมุปะนะยันตะ สัพพุปัททะวา
สะทา มหาลาโภ ภะวันตุเม
เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ
ขันติเมตตาพเลนะ จะ
เตปิ อัมเห อนุรักขันตุ
อโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
สะทา อัมเห รักขันตุ สุรักขันตุ
นิรุปัททะวา สันตุปะสัคคา วูปะสะเมนตุ โน
นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ฯ
ตีโลกะเกตุง ติภะเวกะนาถัง
โยโลกะเสฏโฐ สะกะลัง กิเลสัง
เฉตะวานะ โพเธสิ ชะนัง อนันตังฯ
ตะมะหัง องค์ปฐม พุทธัง อภิปูชะยามิ
ตะมะหัง องค์ปฐม พุทธัง เม สิรสา นมามิ
มหากรุณิโก นาโถ อัตถายะ
หิตายะ สุขายะ สัพพะปาณิณัง
ปูเรตะวา ปารมี สัพพา
ปัตโต สัมโพธิมุตตมัง
สัพพะสันตุปสัคคา สัพพุปัททะวันตรายะ
นิวาระณะสะมัตถัสสะ
สุคะตะมะมิตะพุทธิง โลกะนาถัง
ปูชิตะวา
ปุญญัสสิทานิ กตัสสะ
ยานัญญานิ กตานิ เม
กุสะละมุปะจิตัง ยันเตนะ
เตชุสสะเทนะ จะ
ตัสสะ ปารมิเตเชนะ
วิละยะมุปะนะยันตะ สัพพุปัททะวา
สะทา มหาลาโภ ภะวันตุเม
เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ
ขันติเมตตาพเลนะ จะ
เตปิ อัมเห อนุรักขันตุ
อโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
สะทา อัมเห รักขันตุ สุรักขันตุ
นิรุปัททะวา สันตุปะสัคคา วูปะสะเมนตุ โน
นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ฯ
ข้าพเจ้าขอนมัสการพระพุทธเจ้า ผู้ข้ามพ้น
ฝั่งแห่งภพ ผู้เป็นธงชัยแห่งโลกทั้งสาม
ผู้เป็นที่พึ่งเอกของสามภพ
ผู้ประเสริฐในโลก ตัดกิเลสทั้งสิ้นได้แล้ว
ช่วยปลุกชนหาที่สุดมิได้ ให้ตื่น
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่งเฉพาะสมเด็จองค์ปฐมพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสมเด็จฯด้วยเศียรเกล้า
พระบรมโลกนาถประกอบแล้วด้วยพระกรุณา
อันยิ่งใหญ่
ยังบารมีทั้งสิ้นให้เต็มแล้วเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่สัตว์ทั้งปวง
ได้บรรลุแล้วซึ่งพระสัมโพธิญาณอันอุดม
พระองค์สามารถในอันห้ามเสียซึ่งความเดือดร้อน
อุปสรรค และ อุปัทวันตราย ทั้งปวง
กุศลใดเราบูชาแล้วซึ่งสมเด็จองค์ปฐม
สุคตโลกนาถเจ้า ผู้มีพระปัญญานับไม่ได้
บุญอันข้าพเจ้าทำแล้ว ณ กาลบัดนี้ด้วย
บุญทั้งหลายอื่น อันข้าพเจ้าทำแล้วในกาลก่อน
สร้างสมไว้แล้วด้วยเดชอันแรงกล้า
แห่งกุศลนั้นและด้วยเดชแห่งบารมี
ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
สรรพอุปัทวะ จงถึงความพินาศไป
ขอลาภใหญ่ จงมีแก่ข้าพเจ้า
ด้วย สัจจะ ด้วยศีล ด้วยพลังแห่งขันติ
และเมตตา ของพระพุทธเจ้านั้น
แม้คุณธรรมเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่ง
เราทั้งหลาย
ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรค ด้วยความสุข
รักษาเราทั้งหลายเป็นอันดี ทุกเมื่อ
ให้ไม่มีอุปัทวะ แม้ความเดือดร้อนและ
อุปสรรคทั้งหลายของเราจงสงบไป
ด้วยกุศลผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยแห่ง
พระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ฯ
ฝั่งแห่งภพ ผู้เป็นธงชัยแห่งโลกทั้งสาม
ผู้เป็นที่พึ่งเอกของสามภพ
ผู้ประเสริฐในโลก ตัดกิเลสทั้งสิ้นได้แล้ว
ช่วยปลุกชนหาที่สุดมิได้ ให้ตื่น
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่งเฉพาะสมเด็จองค์ปฐมพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสมเด็จฯด้วยเศียรเกล้า
พระบรมโลกนาถประกอบแล้วด้วยพระกรุณา
อันยิ่งใหญ่
ยังบารมีทั้งสิ้นให้เต็มแล้วเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่สัตว์ทั้งปวง
ได้บรรลุแล้วซึ่งพระสัมโพธิญาณอันอุดม
พระองค์สามารถในอันห้ามเสียซึ่งความเดือดร้อน
อุปสรรค และ อุปัทวันตราย ทั้งปวง
กุศลใดเราบูชาแล้วซึ่งสมเด็จองค์ปฐม
สุคตโลกนาถเจ้า ผู้มีพระปัญญานับไม่ได้
บุญอันข้าพเจ้าทำแล้ว ณ กาลบัดนี้ด้วย
บุญทั้งหลายอื่น อันข้าพเจ้าทำแล้วในกาลก่อน
สร้างสมไว้แล้วด้วยเดชอันแรงกล้า
แห่งกุศลนั้นและด้วยเดชแห่งบารมี
ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
สรรพอุปัทวะ จงถึงความพินาศไป
ขอลาภใหญ่ จงมีแก่ข้าพเจ้า
ด้วย สัจจะ ด้วยศีล ด้วยพลังแห่งขันติ
และเมตตา ของพระพุทธเจ้านั้น
แม้คุณธรรมเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่ง
เราทั้งหลาย
ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรค ด้วยความสุข
รักษาเราทั้งหลายเป็นอันดี ทุกเมื่อ
ให้ไม่มีอุปัทวะ แม้ความเดือดร้อนและ
อุปสรรคทั้งหลายของเราจงสงบไป
ด้วยกุศลผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยแห่ง
พระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ฯ
นะโม เม สัพพะพุทธานัง ตัณหังกะโร มะหาวีโร สะระณังกะโร โลกะหิโต โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข สุมะโน สุมะโน ธีโร ปะทุโม โลกะปัชโชโต ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุชาโต สัพพะโลกัคโค อัตถะทัสสี การุณิโก สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ปุสโส จะ วะระโท
พุ
ทโธ สิขี สัพพะหิโต สัตถา กะกุสันโธ สัตถะวาโห กัสสะโป สิริสัปปันโน
เตสาหัง สิระสา ปาเท วะจะสา มะนะสา เจวะ อะโนมะ ทัสสี ชะนุตตะโม สะยะเน
อาสะเน ฐาเน อุปปันนานัง มะเหสินัง เมธังกะโร มะหายะโส ทีปังกะโร ชุตินธะโร
มังคะโล ปุริสาสะโภ เรวะโต ระติวัฑฒะโน นาระโท วาระสาระถี สุเมโธ
อัปปะฏิบุคคะโล ปิยะทัสสี นะราสะโภ
ธัมมะ
ทัสสี ตะโมนุโท ติสโส จะ วะทะตัง วะโร วิปัสสี จะ อะนูปะโม เวสสะภู
สุขะทายะโก โกนาคะมะโน ระณัญชะโห โคตะโม สักยะปุงคะโวฯ วันทามิ ปุริสุตตะเม
โสภิโต คุณะสัมปันโน วันทาเมเต ตะถาคะเต คะมเน จาปิ สัพพะทา
สาธุ กราบ...
สาธุ กราบ...
สาธุ กราบ...
อนุโมทามิ
สาธุ กราบ...
สาธุ กราบ...
อนุโมทามิ
ที่มา เว็บ Firstbuddha_com
บทกวีทิพย์จากนิพพาน :: พระพุทธโอวาทของสมเด็จองค์ปฐมบรมครู พระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ 1 ทรงเทศน์โปรดเทวดา นางฟ้า พรหม
พระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกเป็นต้นแบบแห่งการเป็นพระพุทธเจ้า
ทรงต้องบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าบุคคลอื่นๆ เพราะไม่มีต้นแบบแห่งการสร้างพระบารมี
ทรงลองผิดลองถูกกว่าบารมีจะรวมตัวกัน แม้นว่าพระบารมีรวมแล้วทรงใช้เวลาถึง ๔๐ อสงไขยกำไรแสนกัป
ใครสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมชื่อบัญชีจะเป็นสีทอง ปิดอบายภูมิ ถ้าคนนั้นจะรวยก็จะรวยเร็ว
ถ้าหวังพระนิพพานก็จะทำให้เร็วขึ้น คือ หมายถึงจะเร่งบารมีคนสร้างและผู้ร่วมสร้างได้สำเร็จเร็วขึ้น
และ ผู้ที่ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมจะมีอานิสงส์ ดังนี้ คือ
๑.เป็นผู้ถึงซึ่งพุทธานุสติ
๒.เป็นผู้ปิดอบายภูมิ
๓.เป็นผู้เจริญด้วยมนุษย์สมบัติ, สวรรค์สมบัติ, นิพพานสมบัติ
๔.เป็นผู้มีปัญญาและสมาธิมั่นคง
๕.เป็นผู้มีความเจริญก้าวหน้าในกิจการทั้งปวง
๖.เป็นผู้มีฐานะมั่นคง
๗.เป็นผู้ที่ไม่มีการถอยหลังแก่ทางโลกและทางธรรม
๘.เป็นผู้สมบูรณ์แก่ฐานะอันเจริญ คือ ญาติ และบริวาร
๙.เป็นผู้เป็นที่รักแก่มนุษย์ อมนุษย์ และเทวดา
๑๐.เป็นผู้สร้างแสงสว่างแก่สรรพสัตว์