ผู้มีบุญ

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

077 หลวงปู่ทวด

รูปเหมือนหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด:เนื้อทองเหลืองนั่งบัลลังก์พญางู




ได้มาจากพระอาจารย์ปรีชา วัดป่าสุริย์วงศ์วนาราม บอกว่าท่านได้มาแบบอจินไตย (ขึ้นมาจากพื้นดิน ใต้ต้นสะเดาในบริเวณวัด) บอกว่าเป็นของผมจึงนำมามอบให้เพื่อไว้บูชาเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว




ประวัติหลวงปู่ทวด 
หลวงปู่ทวด เกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาในราวปี พ.ศ.2125 เป็นบุตรของ นายหู นางจันทร์ มีชื่อว่า เด็กชายปู เมื่อเกิดได้มีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันรอบเปลขณะกำลังหลับอยู่ และงูใหญ่นั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ บิดามารดาของท่านได้เกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาให้เห็นที่น่าอัศจรรย์ในบารมีของเด็กน้อย ซคคคึ่งเป็นลูกชายเป็นแน่ จึงได้รีบหาข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา แล้วงูจึงได้คลายออกจากเปลเลื้อยหายไป ด้วยความเป็นห่วงจึงเข้าดูว่าเกิดเหตุอันตรายหรือเปล่า แต่กับพบลูกแก้วอยู่ที่หน้าอกจึงได้เก็บรักษาไว้ 
เมื่อ เติบใหญ่อายุได้ 7 ขวบ บิดาจึงได้นำไปฝากกับสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) ให้เล่าเรียนหนังสือ เด็กชายปู มีความสามารถอ่านออกเขียนได้ทั้งขอมและไทยได้อย่างแตกฉาน พออายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร บิดาก็ได้มอบลูกแก้ววิเศษประจำตัว สมาเณรได้ศึกษาอยู่กับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) พอครบอายุอุปสมบทได้เดินไปศึกษา ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า “ราโม ธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า “เจ้าสามีราม” หรือ “เจ้าสามีราโม” ได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงได้ขอโดยสารเรือสำเภา เดินทางไปกรุงศรีอยุธยา เดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดพายุเรื่อไม่สามารถแล่ฝ่าคลื่นไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน เป็นเหตุให้เสบียงอาหารและน้ำหมด 
บรรดา ลูกเรือตั้งข้อสังเกตว่าเหตุอาเพศเกิดในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงได้พร้อมใจกันส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือ มาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาด ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในน้ำทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็น ประกายแวววาว เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนพอ นายสำเภาจึงได้นิมนต์ให้ท่านขึ้นเรือสำเภา และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่วัดลุมพลีนาวาส ได้ย้ายไปพำนักที่วัดสมเด็จพระสังฆราชได้ศึกษาพระธรรมและภาษาบาลี จนแตกฉานแล้วจึงได้ทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชานุวาสในรัชสมัย ของสมเด็จพระเอกาทศรถ เจ้าสามีรามได้มีส่วนช่วยเหลือในการแปลปริฒนาธรรมจนสำเร็จ ได้พระราชทานให้เจ้าสามีราม เป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” 
“พระ ราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” หรือ หลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่หลายปี ด้วยควาสงบร่มเย็น ต่อมากรุงศรีอยุธยาได้เกิดโรคระบาดไปทั่ว ประชาราษฏรล้มป่วยตายเป็นจำนวนมาก จึงได้ละลึกถึงพระราชมุณีฯ มีรับสั่งให้ไปนิมนต์ท่านมา และได้ช่วยให้โรคระบาดหายด้วยอำนาจคุณความดีและคุณธรรมอันสูงสุด ได้เลื่อนท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชนามว่า “พระสังราชคูรูปาจารย์” 
ล่วง มาหลายปีจึงได้ขอทูลลากลับภูมิลำเนาเดิม ได้รุกขมูลธุดงค์ ก็ได้เผยแพร่ธรรมมะไปด้วยตามเส้นทางผ่านที่ไหนมีผู้ป่วยก็ทำการักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านพำนักพักแรมที่ใด ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และท่านไดธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ เป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างชื่นชมยินดีและได้ถาวยนามท่านว่า “สมเด็จเจ้าพะโคะ” และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า “วัดพะโคะ” 
เมื่อ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมเนื่องจากถูกข้าศึกทำลาย เมื่อบูรณะเสร็จได้จำพรรษาเผยแพร่ธรรมอยู่หลายพรรษา ท่านได้ออกจาริกเผยแพร่ธรรมะไปสถานที่ต่างๆ จากหลักฐานท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกว่า “ท่านลังกา” และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้านเรียกว่า “ท่านช้างไห้” ดังนั้นท่านได้สั่งแกลูกศิษย์หากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยนำศพไปทำการฌาปณกิจ ณ วัดช้างให้ ท่านมรณภาพด้วยโรคชรา สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิศัตว์หน่อพระพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลและปัญญาไม่ว่าท่านจะไปพำนักที่ใด ที่นั้นจะเป็นแหล่งศูนย์รวมการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านไปจาริกที่ใดมีคนกราบไหว้ฟังธรรม 
 พระคาถาปลุกเสก
"นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา "
จัดดอกไม้ธูปเทียนบูชาคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ แล้วว่า...นะโมฯ ๓ จบ
แล้วนำพระเครื่องหลวงพ่อทวดที่มีอยู่เข้าพนมมือเหนือหน้าอก สงบจิตบริกรรมพระคาถามากน้อยเท่าใดก็ได้ตามปรารถนา
เลือกปลุกเสก วันเสาร์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี


























ฐานพญางู



พญางูใหญ่ที่ใต้ฐานพระ






ไม่มีความคิดเห็น: