ผู้มีบุญ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

081 การชำระหนี้สงฆ์


 

8. เทคนิคการชำระหนี้สงฆ์

ทำไมต้องชำระหนี้สงฆ์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ: "การชำระหนี้สงฆ์
เทคนิคการชำระหนี้สงฆ์
ผู้ถาม: ทำกรรมอะไรถึงลง อเวจี คะ........?

หลวงพ่อ:
อเวจีนี่ทำกรรมหนักมากมันจึงจะลง ก็มีอนันตริยกรรม อาจิณกรรม ขโมยของสงฆ์ ของสงฆ์ นี่แตะนิดเดียว ลงอเวจีเลยนะ แม้แต่เศษเล็ก ๆ

(
เรื่อง อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ยุให้สงฆ์แตกกัน เป็นต้น พระยายมมาบอกหลวงพ่อว่า "ทุกคนอย่าได้ทำเด็ดขาด ท่านช่วยไม่ได้เลย" ส่วน อาจิณกรรม เช่น แม่ครัวทุบหัวปลา แกงเป็นประจำ เป็นต้น สำหรับ ขโมยของสงฆ์ หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้)

หลวงพ่อ:
มีญาติพระเจ้า พิมพิสาร เป็นทายกในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศล แต่มาตอนกลาง ๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้วทีแรกก็เป็น ทายก ต่อมาก็เลยเป็น ทายัก ของอะไรดี ๆ ก็ยังเอาไปเสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมียเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาจะถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อ ดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง บางทีไม่ยกของสด ไอ้ของที่สำเร็จรุปที่เขาไม่ทันจะถวายพระ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง ญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ ตายแล้วลงนรกสิ้นระยะเวลา ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาตก ยมโลกียนรก คือผ่าน นรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกีนรกตามลำดับมาเป็น เปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็น เปรตพวกที่ ๑๒
                       สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จำไว้ด้วยนะ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือเอาเข้าบ้านด้วย อาการของขโมย เสร็จ สะเด็ดไม่เหลือ
                       ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัด เราจะไปขอเด็ดขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่ายังไง ต้องปฏิบัติตามนั้นขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ
                       แม้แต่ ดอกไม้บูชาพระ ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอเก็บจากเด็กวัดอันนี้ไม่ถูกต้อง ลงอเวจี
                       และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้วกรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายไปแล้วไปลง อเวจี แล้วแถมมาเกิดเป็น เปรต

ผู้ถาม:
หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?
หลวงพ่อ: ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาตโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่
                       แต่ที่ตกนรกเป็นอย่างนี้  ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์  ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ   ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ  แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน  โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น  อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
                       บางทีกินอาหารที่ พระฉันเหลือ  ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร)  แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ   บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย   พระยังไม่ทันอนุญาต  ท่านทายกประเภทนี้   ท่านช่วยยก  คนที่กินกับท่าน   ลงอเวจีแบบสะดวก  เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม   ถ้ามากจนเหลือเฟือ  ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน  เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้   ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง  ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์

และ
 อาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน   อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด   เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์   การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี  เพราะเป็นพุทธานุสติ   เป็นพุทธบูชา   แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก  เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน  ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกา  ไม่มีสิทธิ์จะกิน   หลายวัดหรือส่วนใหญ่  ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

เมื่อพระฉัน
 เสร็จแล้ว  ต่างก็ยกเอามากิน  ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง  ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก  ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นแดนจากพระฉันเท่านั้น   ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป   แต่ประการใด

รวมความ
 ว่า  ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น   คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว   แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว  เอามาทำฟืนบ้าง  ทำอย่างอื่นเล็กๆน้อยๆบ้าง  จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป  แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว  ก็เป็นของสงฆ์  มีผลเสมอกัน  เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด  ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต  อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป  ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป  ขโมยของสงฆ์

และอีกประการ หนึ่ง
 วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่  แต่มีสภาพเป็นวัด  กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว  ไม่มีสภาพเป็นวัด  ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว  เขาถือว่า  เป็นหนี้สงฆ์  อันนี้อันตรายมาก  สมัยหลวงพ่อปาน  ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์  บาทสองบาทสลึงสองสลึง  บางคนไม่มีเงินเอามาทำงานแทน  ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง

ผู้ถาม:
หลวงพ่อครับ พระเครื่อง ที่เขาไปขโมยมาแล้วเราเอามาห้อยคอ อย่างนี้จะบาปไหมครับ.....?

หลวงพ่อ:
เดี๋ยว ก่อน พูดเรื่อง พระเครื่อง ก่อนพระที่คุณห้อยน่ะ ไม่มีเครื่อง หรอก พระเครื่องต้องอย่าง ฉันนี่เดินได้ วิ่งได้ ใช่ไหม.......อย่างนั้นเขาไม่เรียกพระเครื่อง เขาเรียก พระห้อย   เขาขโมยมาจากใครล่ะ.......?

ผู้ถาม:
ก็ไม่ทราบแน่ครับ อาจจะขโมยเจาะกรุมาก็ได้ครับ

หลวงพ่อ:
เสร็จ ไอ้นี่พังแน่

ผู้ถาม:
อย่างนี้จะบาปไหมครับ......?

หลวงพ่อ:
รับของโจรมันก็บาปซิ

ผู้ถาม:
แต่ถ้าเราไม่ทราบนี่คงไม่เป็นไรนะครับ

หลวงพ่อ:
เรา  ไม่ทราบก็บาป  เราทราบก็บาป  ไอ้บาปนี้เขา  แปลว่าชั่ว  คนไปขโมยมาจากกรุ  กรุมันเป็นของสงฆ์ ลักษณะของอาการมันเป็นของชั่ว  ถ้าเราเอาของชั่วมาอยู่กับเราก็ชั่วด้วย  อย่างใน  มงคลสูตร  ข้อหนึ่ง ท่านบอกว่า       "อเสวนา จ พาลานัง"   อย่าคบคนพาล  ถึงแม้นตัวราจะไม่พาล   ถ้าเราเดินกับคนพาลเขาก็คิดว่าพาลไปด้วย"   และท่านก็มีข้อเปรียบเทียบ ท่านบอกว่า

"
ใบตองนี่  ไอ้ความเน่าของเนื้อสัตว์มันจะไม่ซึมลง  แต่ว่าถ้าเราเอาใบตองห่อของเน่า  แล้วเอา  ของเน่าทิ้งไปแต่กลิ่นเน่าเหม็น  มันยังติดใบตองอยู่"   "ทีนี้การรับของโจร  ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้  ก็ต้องถือว่าเราร่วมมือด้วยโดยไม่เจตนา  ก็ต้องเอาเหมือนกัน"

ผู้ถาม:
ของหนูก็มีพระที่ขโมยมาเหมือนกันค่ะ  เป็นพระบูชาแต่ว่าอยากเอาไว้ที่บ้านเอาไว้บูชา   ถ้าเราชำระหนี้สงฆ์จะได้ไหมคะ.......?

หลวงพ่อ:
ทีนี้วิธีชำระหนี้สงฆ์  เขาให้มีค่าเสมอของเดิมนะ  เสมอของเดิมหมายความว่า  ไม่ใช่พระรุ่น  แบบนี้  เหมือนกับอย่างเขาเล่นกันนะ  เขาไม่ใช้นะ  ไปดูว่าที่ร้านเจ๊กหน้าตักขนาดนี้เขาขายเท่าไร  แล้วเอาเงินไป  ชำระหนี้สงฆ์ตามราคานั้น ถ้ามากกว่านั้นไม่เป็นไรนะ เท่านั้นก็ใช้ได้ เอาไปวัดใดวัดหนึ่งขอชำระหนี้สงฆ์ ขอมอบ เงินจำนวนนี้และขอเอาพระไปบูชา  ก็เท่านี้แหละ เป็นอันว่าไม่มีอะไรผิด (ใคร ก็ตามได้รู้อย่างนี้ก็ใจเสียแล้ว เวลาไปเอามาไม่รู้เท่าไหร่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  แต่ก็มีคนหัวดี  กล้าถามหลวงพ่อว่า  ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เคยทำมาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้ จะทำอย่างไร เราจึงได้รู้เรื่องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ขึ้นมา)

การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์

ผู้ถาม: แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ...?
หลวงพ่อ: เรื่อง มันเป็น อย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถาม เรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆ ชาตินี้เราไม่รู้เอาอะไรมาบ้าง  ถามว่าจะทำอย่างไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  พอตอบไม่รู้ก็เห็นพระท่านลอยมา  ท่านบอก  "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ  ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก"  พระหน้าตัก 4 ศอก  ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า  "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้   ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์   หนี้สงฆ์ที่แล้วๆ   มาถือเป็นการหมดกันไป"

ฉัน
พูดแล้วก็กลับ  มาวัด  ต่อมาพวกนั้นก็มาถามใหม่ว่า  "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน  " ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน   ท่านก็มาใหม่   ท่านบอกว่า   "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว   ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ  " หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้   ตัดบาปเก่า   ถ้าสร้างใหม่อีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ

ผู้ถาม:
 ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อยๆ แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ....?

หลวงพ่อ:
ถ้า เรามีสตางค์น้อยๆ  ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า  "ชำระหนี้สงฆ์"  คือ ว่าไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อยๆ ให้ใจสบาย บาทสองบาทตามกำลังที่พึงทำได้  เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ   หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน  เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก   ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ  คือ  ไม่ใช่จะเกณฑ์ให้ไปสร้างพระเพราะทุนไม่พอใช่ไหม  เราก็ทำไปเรื่อยใจสบาย   มีสตางค์รับเงินเดือนมาที่ ทำ 5 บาท   ใส่ซองถวายพระบอก  "ขอชำระหนี้สงฆ์"   ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเอง   ไม่ต้องห่วง   ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย  เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัว  ไม่ได้   ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างเถอะ   ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม...."

ผู้ถาม:
 ถ้ามีญาติโยมเอา   เงินไปถวายพระ  แต่ก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง   ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว   จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ...?

หลวงพ่อ:
เขาถวาย  เป็นของ  สงฆ์ใช่ไหม  เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม  แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร  แต่คนในวัดเขาไปปลูกบ้าน   เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม   เขาถวายอานิสงส์   มันได้ตั้งแต่ถวาย   มีอานิสงส์ครบถ้วน   นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ   คนอื่นเอาไปใช่ไหม   อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ   อานิสงส์ มันได้ตั้งแต่เริ่มให้   ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้นเวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม   ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปิติอิ่มใจ   อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่

ผู้ถาม:
 โอ้โฮ...หนักถึงขนาดนั้นเลยหรือครับหลวงพ่อ.....?

หลวงพ่อ:
ยังเบานะ ถ้า 2-3 คราว ลงโลกันต์

ผู้ถาม:
 นี่ดีนะที่สึกออกมาก่อน ไม่งั่นไปอยู่ใต้พระเทวทัตแน่ๆ

หลวงพ่อ:
ใต้พระเทวทัตน่ะไม่มีความทุกข์นะ ความทุกข์มันอยู่แค่อเวจี ต่ำกว่าอเวจีก็ไม่ถึงโลกันต์
คำถวายปัจจัยเพื่อชำระหนี้สงฆ์

               ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 
               พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 
               พระอริยสงฆ์สืบต่อๆ กันมาทั้งหมด 
               ขออาราธนาคุณพระธรรม 
               ตลอดถึง ขออาราธนาบารมีพระพรหมและเทพเทวดาทั้งหมด
และขออาราธนาบามีครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นที่สุด 

               ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะ สามารถกำหนดจิต ได้ทุกขณะจิต ที่ปรารถนา ทุกประการ และ ขอโปรดเมตตาเป็นสักขีพยาน ในการชำระหนี้สงฆ์ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
          ข้าพเจ้าขอถวายเงิน จำนวน..........บาท  (ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่วัด.......)  เพื่อชำระหนี้สงฆ์  ที่ข้าพเจ้าได้เคยประมาทพลาดพลั้ง  ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี   ด้วยกายก็ดี   ด้วยวาจาก็ดี   ด้วยใจก็ดี    ด้วยเจตนาก็ดี   ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี   ข้าพเจ้าขอชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมดให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในครั้งนี้ด้วยเถิด

คำถวายปัจจัยเพื่อทำบุญ
               ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 
               พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 
               พระอริยสงฆ์สืบต่อๆ กันมาทั้งหมด 
               ขออาราธนาคุณพระธรรม 
               ตลอดถึง ขออาราธนาบารมีพระพรหมและเทพเทวดาทั้งหมด
และขออาราธนาบามีครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นที่สุด 

               ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะ สามารถกำหนดจิต ได้ทุกขณะจิต ที่ปรารถนา ทุกประการ และ ขอโปรดเมตตาเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
          ข้าพเจ้าขอถวายเงิน จำนวน..........บาท  (ร่วม............ที่วัด.......)  ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้า  ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า ( ทั้งหลาย ) จงมีความคล่องตัวทุกประการจงมีแก่ข้าพเจ้า และความไม่มีจงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า ( ทั้งหลาย ) ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน มีสมเด็จองค์ปฐม และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง อยู่ที่ใดข้าพเจ้าขออยู่ที่นั้นเถิด
หมายเหตุ
  (ทั้งหลาย) ใช้กรณี 2 คนขึ้นไป  


ขอขอบคุณ


ไม่มีความคิดเห็น: